ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตหรือผู้ออกบัตรเครดิตไม่ว่าจะเป็นธนาคารพาณิชย์หรือไม่ใช่ก็ตาม จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแบงก์ชาติ โดยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตแต่ละประเภท ดังนี้
1. ธนาคารพาณิชย์ ต้องดำเนินธุรกิจภายใต้พระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ. ศ. 2551 และ
ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยที่ออกตามความใน พ.ร.บ. ดังกล่าว
2. ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (Non-bank) ต้องดำเนินธุรกิจภายใต้ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58
(ปว. 58) ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2545 รวมถึงประกาศกระทรวงการคลัง และประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่ออกตามความใน ปว. 58
ข้อกำหนดสำคัญที่ผู้บริโภคควรรู้ มีดังนี้(ข้อมูล ณ วันที่ 9 มกราคม 2555)
- กรณีผ่อนชำระ ผู้ถือบัตรต้องชำระหนี้ขั้นต่ำในแต่ละงวดไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของยอดคงค้างทั้งสิ้น
- ห้ามผู้ออกบัตรเรียกเก็บดอกเบี้ย หรือดอกเบี้ยผิดนัด หรือเบี้ยปรับ หรือค่าบริการต่าง ๆ เป็นจำนวนรวมกันเกินร้อยละ 20 ต่อปี (ดูวิธีการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก) ทั้งนี้ ผู้ออกบัตรอาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมได้ ในกรณีต่อไปนี้
- กรณีเบิกถอนเงินสดด้วยบัตรเครดิต ผู้ออกบัตรสามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียม เพิ่มเติมได้อีก ไม่เกินร้อยละ 3
- กรณีมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ผู้ออกบัตรสามารถเรียกเก็บได้ตามจริง และ/หรือพอสมควรแก่เหตุ แต่ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ค่าบริการในการใช้บัตรเครดิตเพื่อชำระภาษีอากร และค่าธรรมเนียมของทางราชการ และค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถามหนี้ เป็นต้น
- หนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิต ที่ยังไม่ได้โอนไปเป็นหนี้ตามสัญญาเดินสะพัด ห้ามเอาดอกเบี้ยทบเข้ากับเงินต้น แล้วคิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากัน
- ห้ามนำเบี้ยปรับ และค่าใช้จ่ายในการทวงถามหนี้ มารวมกับหนี้ค้างชำระ เพื่อคิดเบี้ยปรับอีก
- วิธีการติดตามทวงถามหนี้ ต้องอยู่ภายในขอบเขตของ กฎ กติกา มารยาท ที่กำหนดใน แนวปฏิบัติในการติดตามทวงถามหนี้ ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย
- เมื่อผู้ออกบัตรเครดิตได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภค ผู้ออกบัตรเครดิตต้องดำเนินการ ดังนี้
2 แจ้งความคืบหน้าของผลการตรวจสอบและขั้นตอนการดำเนินการต่อไป ให้ผู้บริโภคทราบภายใน 7 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งการร้องเรียน
3 ดำเนินการแก้ไขข้อร้องเรียนให้แล้วเสร็จ และแจ้งให้ผู้บริโภคทราบโดยเร็ว